Competitive Insights of Instagram

สรุปข้อจำกัด (ที่ต้องรู้) ของ Competitive Insights ฟีเจอร์ใหม่บน Instagram

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการที่ Instagram ปล่อยเครื่องมือ Competitive Insights ออกมานั้น เป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ มันช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อย หรือครีเอเตอร์ที่เพิ่งเริ่มต้น สามารถเข้าถึงข้อมูลคู่แข่งได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายให้เครื่องมือภายนอก (Third-party Tools)

ข้อมูลหลักที่ฟีเจอร์นี้นำเสนอ เช่น

  • ยอดเติบโตผู้ติดตาม (Follower Growth): เปรียบเทียบการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของผู้ติดตาม
  • ความถี่ในการโพสต์ (Posting Frequency): บอกว่าคู่แข่งโพสต์บ่อยแค่ไหน และเน้นคอนเทนต์ประเภทใด (Reels, Feed Posts, Ads)
  • ยอด Engagement (Likes, Comments): และจุดเด่นคือ สามารถมองเห็นยอดไลก์ แม้บัญชีนั้นจะตั้งค่าซ่อนไว้

ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์สำหรับการวิเคราะห์ “ภาพรวม” อย่างรวดเร็ว แต่หากคุณคือนักการตลาดที่ต้องการข้อมูลเชิงลึกเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ “ภาพรวม” นั้นยังห่างไกลจากคำว่า “เพียงพอ”

นี่คือ 7 ข้อจำกัดสำคัญที่คุณต้องทำความเข้าใจ ก่อนจะเชื่อข้อมูลที่เห็นตรงหน้า

1. ขาดเมตริกเชิงลึกที่สำคัญที่สุด (No Deep Metrics)

นี่คือข้อจำกัดที่ใหญ่หลวงที่สุด Competitive Insights มุ่งเน้นไปที่ “เมตริกลวงตา” (Vanity Metrics) เช่น ยอดไลก์ และยอดผู้ติดตาม

แต่เมตริกที่นักการตลาดใช้ตัดสินความสำเร็จของคอนเทนต์จริงๆ กลับหายไปทั้งหมด ได้แก่

  • Reach (การเข้าถึง): เราไม่รู้เลยว่าโพสต์ของคู่แข่งที่มียอดไลก์สูงนั้น เข้าถึงคนกี่คน (Unique Accounts)
  • Impressions (การแสดงผล): ไม่รู้ว่าโพสต์นั้นถูกเห็นไปกี่ครั้ง
  • Saves (การบันทึก): นี่คือเมตริกทองคำในยุคนี้ เพราะมันบ่งบอกว่าคอนเทนต์ “มีประโยชน์” จนคนต้องเก็บไว้อ่านซ้ำ แต่เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโพสต์ไหนของคู่แข่งที่คนแห่บันทึก
  • Clicks (การคลิก): ไม่รู้ว่ามีคนคลิกลิงก์ที่ Bio, คลิกออกจากโพสต์, หรือคลิกดูโปรไฟล์ของคู่แข่งมากน้อยเพียงใด

ผลกระทบ

คุณอาจเห็นว่าโพสต์ A ของคู่แข่งได้ 10,000 ไลก์ และโพสต์ B ได้แค่ 1,000 ไลก์ คุณจึงสรุปว่าโพสต์ A ดีกว่า แต่ในความเป็นจริง โพสต์ B อาจมีคน “Save” เก็บไว้ถึง 500 ครั้ง และมีคน “คลิก” ไปยังหน้าเว็บไซต์ 300 ครั้ง ในขณะที่โพสต์ A มีแต่ไลก์ แต่ไม่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจเลย

การขาดข้อมูลเหล่านี้ ทำให้คุณวิเคราะห์ “คุณภาพ” ที่แท้จริงของคอนเทนต์คู่แข่งไม่ได้เลย

2. วิเคราะห์ได้แค่ “หนึ่งต่อหนึ่ง” (No Group Benchmarking)

ฟีเจอร์ในปัจจุบันอนุญาตให้คุณเปรียบเทียบได้ทีละบัญชีเท่านั้น คือ “บัญชีของคุณ VS บัญชีคู่แข่ง A”
หากคุณต้องการเปรียบเทียบกับคู่แข่ง B คุณต้องกดเลือกใหม่เป็น “บัญชีของคุณ VS บัญชีคู่แข่ง B”

คุณไม่สามารถสร้างแดชบอร์ดที่แสดงผลคู่แข่ง 5 ราย (A, B, C, D, E) พร้อมกันในกราฟเดียว เพื่อดูว่าใครคือผู้นำตลาดในด้านใด หรือค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม (Industry Benchmark) อยู่ที่เท่าไหร่

ผลกระทบ

ทำให้กระบวนการเปรียบเทียบเสียเวลามาก และทำให้คุณมองไม่เห็นภาพรวมของ “ตลาด” คุณอาจกำลังเปรียบเทียบตัวเองกับคู่แข่งที่ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานตลาดโดยรวมก็ได้ การขาดมุมมองแบบกลุ่ม (Group View) ทำให้นักการตลาดขาดจุดอ้างอิงที่สำคัญในการประเมินประสิทธิภาพของตนเอง

3. ไม่มีข้อมูลเชิงประชากรศาสตร์ (No Audience Demographics)

No Audience Demographics

Competitive Insights บอกคุณว่าคู่แข่งมีผู้ติดตามเพิ่มขึ้นกี่คน แต่ไม่เคยบอกว่าคนที่เพิ่มเข้ามานั้นคือ “ใคร” คุณไม่สามารถรู้ข้อมูลเชิงลึกของผู้ติดตามคู่แข่งได้เลย เช่น

  • เพศ (Gender)
  • อายุ (Age Range)
  • ตำแหน่งที่ตั้ง (Location ทั้งเมืองและประเทศ)
  • ช่วงเวลาที่ใช้งาน (Active Times)

ผลกระทบ

จุดบอดที่ร้ายแรงสำหรับการวางแผนกลยุทธ์และการยิงโฆษณา คุณอาจคิดว่าคุณกับคู่แข่ง A กำลังแย่งลูกค้ากลุ่มเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว ผู้ติดตามของคู่แข่ง A ส่วนใหญ่อาจเป็นคนละกลุ่มเป้าหมายกับคุณ การที่คุณไม่รู้ว่าฐานแฟนของคู่แข่งคือใคร ทำให้คุณไม่สามารถวางแผนเจาะตลาด หรือหา “ช่องว่าง” (Audience Gaps) ที่คู่แข่งยังเข้าไม่ถึงได้

4. ข้อมูลย้อนหลังจำกัดมาก (Limited Historical Data)

เครื่องมือนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการวิเคราะห์ “ระยะสั้น” โดยทั่วไปจะแสดงข้อมูลย้อนหลังเพียง 7 วัน, 30 วัน หรือบางครั้งอาจถึง 90 วัน แต่ไม่มากไปกว่านั้น

คุณไม่สามารถดึงข้อมูลย้อนหลัง 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว (Long-term Trends) หรือเปรียบเทียบแคมเปญแบบปีต่อปี (Year-over-Year) ได้

ผลกระทบ

ไม่สามารถวิเคราะห์ “ฤดูกาล” (Seasonality) ของธุรกิจคู่แข่งได้ ไม่รู้ว่าแคมเปญที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของเขาเมื่อปลายปีที่แล้วคืออะไร กลยุทธ์การตลาดที่ดีต้องมองภาพใหญ่และแนวโน้มระยะยาว การมีข้อมูลเพียง 30-90 วัน ทำให้คุณเห็นแค่ “ยอดคลื่น” แต่ไม่เห็น “กระแสลม” ที่กำลังเปลี่ยนทิศทาง

5. เจาะลึก Stories และ Ads ไม่ได้เลย

กลยุทธ์ Instagram ในปัจจุบันไม่ได้มีแค่ Feed Posts หรือ Reels แต่ “Stories” และ “Ads” (โฆษณา) คือหัวใจสำคัญในการสื่อสารและปิดการขาย แม้ว่า Competitive Insights จะบอกว่าคู่แข่ง “มีการโพสต์ Ads” แต่ข้อมูลที่ให้มานั้นผิวเผินมาก

  • สำหรับ Ads: ไม่บอกงบประมาณ (Budget), กลุ่มเป้าหมาย (Targeting), หรือผลลัพธ์ (Performance) ของโฆษณานั้นๆ
  • สำหรับ Stories: ไม่มีการวิเคราะห์ใดๆ เลย เราไม่รู้ว่าเขาโพสต์ Stories บ่อยแค่ไหน, ใช้สติกเกอร์อะไร (เช่น Poll, Quiz), หรือมีอัตราการตอบกลับ (Reply Rate) เท่าไหร่

ผลกระทบ

คุณกำลังพลาดการวิเคราะห์กลยุทธ์ “หลังบ้าน” ของคู่แข่งไปเกือบครึ่งหนึ่ง คู่แข่งที่ดูเหมือนเงียบๆ ใน Feed อาจจะกำลังทุ่มงบประมาณยิง Ads หรือสร้าง Engagement มหาศาลผ่าน Stories ก็ได้ การที่เครื่องมือนี้มองไม่เห็นข้อมูลดังกล่าว ทำให้การประเมินคู่แข่งของคุณผิดพลาดไปไกล

7. ตกหลุมพราง “ยอดไลก์ที่ถูกซ่อน” (The Hidden Like Trap)

ข้อดีที่หลายคนตื่นเต้นคือการ “เห็นยอดไลก์ที่คู่แข่งซ่อน” แต่นี่อาจเป็นกับดักทางความคิด การที่ Instagram อนุญาตให้ซ่อนยอดไลก์ ก็เพื่อต้องการลดแรงกดดันและลดการเปรียบเทียบที่ผิวเผิน (Vanity Metrics) แต่การที่ Competitive Insights นำมันกลับมาโชว์ ทำให้นักการตลาดอาจกลับไปโฟกัสที่ “ยอดไลก์” อีกครั้ง

ผลกระทบ

คุณอาจเริ่มปรับกลยุทธ์ของคุณเพื่อ “เอาชนะยอดไลก์” ของคู่แข่ง โดยลืมไปว่าเป้าหมายที่แท้จริงคือ “ยอดขาย” หรือ “Brand Love” คุณอาจเสียเวลาไปกับการทำคอนเทนต์ที่เรียกไลก์ได้เยอะ แต่ไม่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจ (เช่น คอนเทนต์ตลก, คอนเทนต์แจกของ) แทนที่จะทำคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ซึ่งอาจได้ไลก์น้อยกว่า แต่ได้ “Saves” และ “Leads” มากกว่า

7. ขาดการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ (No Qualitative Analysis)

เครื่องมือนี้บอก “ตัวเลข” (Quantitative) แต่ไม่บอก “ความรู้สึก” (Qualitative) คุณไม่รู้ว่าในคอมเมนต์เหล่านั้น คนพูดถึงแบรนด์คู่แข่งว่าอย่างไร (Sentiment Analysis) พวกเขาชื่นชม, ตำหนิ, หรือสอบถามเรื่องอะไรเป็นหลัก คุณไม่รู้ว่าแฮชแท็ก (#Hasag) ไหนที่กำลังสร้างประสิทธิภาพให้คู่แข่ง

No Qualitative Analysis

ผลกระทบ

คุณเห็นแค่ว่าโพสต์นี้มี 1,000 คอมเมนต์ แต่คุณไม่รู้ว่า 800 คอมเมนต์ในนั้นคือการต่อว่าเรื่องบริการขนส่งล่าช้า หรือเป็นคอมเมนต์จากกิจกรรมแจกของ (Giveaway) การขาดข้อมูลเชิงคุณภาพทำให้คุณพลาดโอกาสในการเรียนรู้จาก “วิกฤต” หรือ “จุดแข็ง” ในบริการลูกค้าของคู่แข่ง

Competitive Insights คือก้าวแรกที่ดีของ Instagram ในการมอบข้อมูลให้ผู้ใช้งาน แต่มันยังอยู่ในระดับ “พื้นฐาน” เท่านั้น

การที่มันเน้นโชว์ยอดไลก์ ยอดผู้ติดตาม โดยขาดเมตริกสำคัญอย่าง Reach, Saves, และ Demographics ทำให้นักการตลาดที่ใช้เครื่องมือนี้เพียงอย่างเดียว อาจกำลังขับรถโดยมองแต่กระจกหน้า แต่ไม่เคยมองกระจกข้างหรือกระจกหลัง

จงใช้ประโยชน์จากข้อมูลฟรีที่ได้มา แต่อย่าหยุดตั้งคำถาม และจงเข้าใจ “ข้อจำกัด” ของมันเสมอ เพราะในสนามรบที่วัดกันด้วยข้อมูล คนที่เห็น “ภาพลึก” และ “ภาพกว้าง” กว่า ย่อมเป็นผู้ชนะครับ